รายการบล็อก

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สุนัขผู้ซื่อสัตย์

          สวัสดีครับวันนี้เรามาพบกันอีกแล้วน่ะครับ ขอเสนอ " สุนัข " เป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์และน่ารัก


ลักษณะทั่วไปและการล่าเหยื่อ

สุนัขเป็นสัตว์ที่มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะที่ต่างกันออกไป แต่ลักษณะโดยรวมของสุนัขทั่วๆ ไปแล้ว สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ออกลูกเป็นตัว มีขนสั้นหรือยาวแตกต่างไปตามสายพันธุ์ บางตัวอาจมีขนสีดำ สีขาว สีน้ำตาล สีส้ม หรือบางตัวอาจมีหลายสีปะปนกัน ขนาดของหูจะสั้นหรือยาวก็แตกต่างไปตามสายพันธุ์เช่นกัน

สุนัขเล่นกีฬา



สุนัขเล่นกีฬา (Sporting Dogs) เป็นสุนัขพันธุ์ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นผู้ช่วยในการล่าสัตว์โดยเฉพาะ มีหน้าที่การค้นหาเหยื่อ และนำเหยื่อกลับมาให้เจ้าของ เราสามารถแบ่งสุนัขเล่นกีฬาได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ สเปเนี่ยน เป็นพันธุ์สุนัขที่มีรูปร่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป เฉลียวฉลาด จมูกรับกลิ่นได้ดี ลักษณะเด่นคือหูยาวตูบ แบ่งย่อยได้เป็น 2 กลุ่มคือ พันธุ์ที่ใช้ล่าสัตว์ และพันธุ์ขนาดเล็ก (ปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มสุนัขที่เลี้ยงไว้ดูเล่น) ในขณะที่มันออกล่าสัตว์ เมื่อมันพบเหยื่อ มันจะพุ่งเข้าโจมตีเหยื่อทันที พอยเตอร์ และเซทเตอร์ เป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าสเปเนี่ยน ขายาว หูตูบ และจมูกรับกลิ่นได้ดี รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่เป็นมิตร แข็งแรง มีโครงสร้างดี และ มีความเชี่ยวชาญในการล่าสัตว์ มันถนัด การค้นหา และนำเหยื่อกลับมาให้เจ้าของ มันมักจะทำงานร่วมกับสุนัขพันธุ์สเปเนี่ยน นอกจากนี้ รีทรีฟเวอร์ยังสามารถว่ายน้ำได้ดี มันจึงมักถูกใช้ในการล่าสัตว์ปีกที่บินอยู่เหนือน้ำ เช่น ห่านป่า เป็นต้น

สุนัขเทอร์เรีย



สุนัขเทอร์เรีย (Terriers) เป็นสุนัขขนาดเล็ก ต้นกำเนิดอยู่ในประเทศอังกฤษ มีนิสัยชอบดมกลิ่น อยากรู้อยากเห็น ตามรอย และขุดหาสิ่งที่สงสัย มันจึงกลายเป็นผู้ช่วยในการล่าสัตว์ สุนัขเทอร์เรียจะทำหน้าที่ตามรอยสัตว์ป่า เช่น กระต่าย หนู แบดเจอร์ หมาป่า เมื่อพบแหล่งที่อยู่อาศัยของเหยื่อ มันจะมุดลงไปในรูนั้น ทำให้สัตว์เหล่านั้นตกใจและวิ่งออกมาจากรัง เพื่อให้คนตามล่าต่อไป แม้เทอร์เรียจะเป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก ขาสั้น แต่เคลื่อนไหวได้อย่างว่องไว มีความมานะอดทน บากบั่น กล้าหาญ ทำให้มันเคยถูกใช้เป็นสุนัขสงคราม แต่ปัจจุบันนิยมนำมาเลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นในบ้าน สุนัขเทอร์เรียแยกย่อยได้อีกหลายสายพันธุ์ อาจแบ่งเทอร์เรียเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะของขน ได้แก่ พันธุ์ขนเรียบและสั้น เช่น ฟอกซ์ เทอร์เรียขนสั้น พันธุ์ขนหยาบและยาว เช่น สก็อตทิช เทอร์เรีย และ เคอรีบลู เทอร์เรีย เป็นต้น  บนเกาะอังกฤษนั้น มีสุนัขเทอร์เรียอีกมากมายหลายสายพันธุ์ กระจายไปตามท้องที่ต่างๆ แต่ส่วนหนึ่งได้กลายพันธุ์ไป เหลือแต่สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม เช่น ฟ็อกซ์ เทอร์เรีย, บูล เทอร์เรีย, แบดลิงตัน และ แมนเชสเตอร์ เทอร์เรีย จากเกาะอังกฤษ สกาย, เครน และ สก็อตทิช เทอร์เรีย จากสก็อตแลนด์ ไอริช และเคอรีบลู เทอร์เรีย จากไอร์แลนด์ เป็นต้น

สุนัขทำงาน



สายพันธุ์สุนัขทำงาน (Working dogs) ได้จากการที่มนุษย์พบว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่มีความสามารถเกินกว่าที่คาดไว้ มันมีความฉลาด แข็งแกร่ง ว่องไว มานะอดทน สายตาดี และติดตามกลิ่นได้อย่างดีเยี่ยม สุนัขจึงถูกคัดเลือกพันธุ์เพื่อใช้งาน นอกเหนือจากการล่าสัตว์ จึงได้สายพันธุ์นี้ ที่มีลักษณะเด่น แตกต่างกันไปและมีทักษะที่หลากหลาย มนุษย์นำสุนัขมาใช้งาน เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เลี้ยงเพื่อเฝ้ายาม สำรวจหาระเบิดในสงคราม ต้อนฝูงสัตว์ ลากสัมภาระ ตามรอยหาผู้ร้าย และ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปัจจุบันยังมีสุนัขที่ถูกฝึกเลี้ยงไว้เพื่อเป็นผู้ช่วยตำรวจ นำทางให้กับคนพิการด้านสายตา ตรวจค้นยาเสพติด แก๊สรั่ว วัตถุระเบิด และช่วยเหลือผู้พิการด้านการได้ยินอีกด้วย ตัวอย่างของสายพันธุ์สุนัขตำรวจ ได้แก่ บ็อกเซอร์, พินซ์เช่อร์, โดเบอร์แมน, รอทไวเลอร์ เยอรมันเชพเพิร์ด, เกรดเดน เป็นต้น ยังมีสุนัขทำงานอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของชาวไร่ชาวนา เช่น คอลลี, พูลิ, โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก, เยอรมันเชพเพิร์ด, เช็ทแลนด์ ชีพด็อก และ คอร์กี้ โดยสุนัขพวกนี้ จะคอยช่วยเหลือชาวไร่ ในการเฝ้าดูแลฝูงปศุสัตว์ เนื่องจากพวกมันช่วยชาวไร่ทำงานได้ดีมาก ดังนั้น เกือบทุกประเทศที่มีการเลี้ยงสัตว์ จะมีการพัฒนา สายพันธุ์สุนัขต้อนสัตว์ จนได้พันธุ์สุนัขประจำถิ่นของตนเอง เช่น คอลลี จากสก็อตแลนด์ พูลิ จากฮังการี และ คอร์กี้ จากเวลส์ เป็นต้น สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความอดทน และแข็งแกร่ง จนสามารถช่วยมนุษย์ทำงานหนัก ๆ ได้ นอกจากนี้ ประเทศในเขตอากาศหนาวมาก ๆ ซึ่งการเดินทาง เป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังใช้สุนัข เช่น อะลาสกัน มาลามูท, ไซบีเรียน ฮัสกี้ และ ซามอยด์ เพื่อเป็นพาหนะเดินทาง โดยสามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 160 กิโลเมตร ในเวลา 18 ชั่วโมง สุนัขแต่ละตัวมักจะมีความสามารถเฉพาะอย่าง มนุษย์มักใช้สุนัขทำงานอีกหลายประเภท โดยสุนัขบางพันธุ์ถูกฝึกเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง เช่น สุนัขเซนต์ เบอร์นาร์ดถูกฝึกให้ค้นหา และนำบรั่นดีไปให้กับผู้หลงทางในหิมะ เบอร์นีส เมาน์เทน ช่วยลากเลื่อนที่บรรทุกนมและเนยไปส่งที่ตลาด โปรตุกีส วอเทอร์ ด็อก ช่วยดำน้ำงมหาอวนและเครื่องมือหาปลาที่ตกน้ำ หรือแม้กระทั่งปลาที่หลุดออกไปจากอวน นอกจากนี้ ยังมีสุนัขที่ทำหน้าที่ประหลาดที่สุด คือ สุนัขพันธุ์นอร์วีเจียน ลุนเดฮันด์ กลายเป็นสุนัขที่ใช่ในการล่านก โดยถูกฝึกมาให้ทำงานในถ้ำ หรือหน้าผาที่สูงชัน เพื่อจู่โจมกับรังนกพัฟฟินอีกด้วย

สุนัขตุ๊กตา



สุนัขตุ๊กตา (Toy) เป็นสุนัขตัวเล็กๆ เดิมเป็นสุนัขตัวใหญ่ แต่ถูกพัฒนาพันธุ์จนกลายเป็นสุนัขตัวเล็ก สุนัขประเภทนี้เหมาะสำหรับ เลี้ยงไว้แก้เหงา มันสามารถแก้เหงาให้กับคนชราที่ถูกทอดทิ้ง คนป่วย รวมไปถึงเด็กๆ ให้หายจากความโดดเดี่ยว สุนัขตุ๊กตาถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว โดยเมื่อ 4,000 ปีก่อน สุนัขสิงโต (Lion Dogs) ที่หน้าตาคล้าย ๆ กับ สุนัขปักกิ่งในจีน และพบแลปด็อกส์ ที่โด่งดังในกลุ่มชาวโรมัน ในสมัยก่อนนั้น สุนัขตุ๊กตาเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้หญิง และเด็ก ๆ ในสังคมชั้นสูง แม้ว่าสุนัขตุ๊กตาจะตัวเล็ก แต่มันก็ยังมีสัญชาตญาณของสุนัขอยู่ครบถ้วน มันพร้อมที่จะปกป้องเจ้านาย และบ้านที่มันอาศัยอยู่ โดยการเห่าเสียงดัง ๆ หรือร้องครวญคราง เพื่อเตือนเมื่อมีผู้บุกรุก และบางตัวอาจจู่โจมผู้บุกรุกก็มี


สุนัขอเนกประสงค์



สุนัขอเนกประสงค์ (Non Sporting) เป็นสุนัขนานาประโยชน์ตามแต่เจ้าของจะใช้งาน สุนัขพวกนี้หลายๆ พันธุ์มีผู้นิยมซื้อมาเลี้ยงกันมาก อย่างเช่น สุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยน เป็นต้น เนื่องจากเป็นสุนัขที่ประโยชน์ใช้สอยที่ไม่ธรรมดา สุนัขพันธุ์ลาซา แอพโซ่ เป็นสุนัขที่ลามะในธิเบตเลี้ยงไว้เพื่อป้องกันภัย และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ สำหรับสุนัขพันธุ์เชาเชา ซึ่งถือกำเนิดในมองโกเลียเมื่อ 3,000 ปีก่อน ในช่วงแรก ๆ เป็นสุนัขที่ถูกใช้ในสงคราม แต่ต่อมากลับถูกชาวจีนฆ่าเพื่อเป็นอาหาร และนำเอาขนของมันไปทำเครื่องนุ่งห่ม

จิ้งหรีด ตัวกระจิ๊ด

     สวัสดีครับบ วันนี้ก็มาพบกับนายอาร์มเหมือนเคยน่ะครับ สัตว์น่ารู้ของเราวันนี้ ขอเสนอ " จิ้งหรีด "

     จิ้งหรีดถือเป็นแมลงที่มีขนาดลำตัวปานกลางเมื่อเทียบกับแมลงโดยทั่วไป มีปีก 2 คู่ คู่หน้าเนื้อปีกหนากว่าคู่หลัง ปีกเมื่อพับจะหักเป็นมุมที่ด้านข้างของลำตัว ปีกคู่หลังบางพับได้แบบพัดสอดเข้าไปอยู่ใต้ปีกคู่หน้า ปากเป็นชนิดกัดกิน หัวกับอกมีขนาดกว้างไล่เลี่ยกัน ขาคู่หลังใหญ่และแข็งแรงใช้สำหรับกระโดด ตัวผู้มีอวัยวะพิเศษสำหรับทำเสียงเป็นฟันเล็ก ๆ อยู่ตามเส้นปีกบริเวณกลางปีก ใช้กรีดกับแผ่นทำเสียงที่อยู่บริเวณท้องปีกของปีกอีกข้างหนึ่ง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่เป็นที่รู้จักกันดีของจิ้งหรีด ขณะที่ตัวเมียจะไม่สามารถทำเสียงดังนั้นได้ และจะมีอวัยวะสำหรับใช้วางไข่เป็นท่อยาว ๆ บริเวณก้นคล้ายเข็ม เห็นได้ชัดเจน


ถิ่นที่อยู่อาศัย
     จิ้งหรีดสามารถพบได้ในทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้น พบแล้วประมาณ 900 ชนิด ในประเทศไทยก็พบได้หลายชนิด จิ้งหรีดเป็นแมลงที่กัดกินพืชชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร สามารถกินได้หลายชนิด มักออกหากินในเวลากลางคืน มักจะอาศัยโดยการขุดรูอยู่ในดินหรือทราย ในที่ ๆ เป็นพุ่มหญ้า แต่ก็มีจิ้งหรีดบางจำพวกเหมือนกันที่อาศัยบนต้นไม้เป็นหลัก
สำหรับในประเทศไทย พบจิ้งหรีดได้ทั่วทุกภูมิภาค ชนิดของจิ้งหรีดที่พบ ได้แก่ จิ้งหรีดทองดำ (Gryllus bimaculatus),จิ้งหรีดทองแดง (G. testaceus), จิ้งโกร่งหรือ จิ้งกุ่ง (Brachytrupes portentosus) เป็นต้น

การดำรงชีวิต
     จิ้งหรีดเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตแบบไม่ต้องผ่านการเป็นหนอนหรือดักแด้ ตัวอ่อนที่เกิดมาจะเหมือนตัวเต็มวัย เพียงแต่ยังไม่มีปีก และมีสีที่อ่อนกว่า ต้องผ่านการลอกคราบเสียก่อน จึงจะมีปีกและทำเสียงได้ จิ้งหรีดจะผสมพันธุ์เมื่อเป็นตัวเต็มวัย การผสมพันธุ์และวางไข่แต่ละรุ่นจะใช้เวลาประมาณ 15 วันต่อครั้ง ในแต่ละรุ่น เมื่อหมดการวางไข่รุ่นสุดท้ายแล้วตัวเมียก็จะตาย โดยตัวผู้จะทำเสียงโดยยกปีกคู่หน้าถูกันให้เกิดเสียง เพื่อเรียกตัวเมีย จังหวะเสียงจะดังเมื่อตัวเมียเข้ามาหา บริเวณที่ตัวผู้อยู่ ตัวผู้จะเดินไปรอบ ๆ ตัวเมียประมาณ 2-3 รอบ ช่วงนี้จังหวะเสียงจะเบาลง แล้วตัวเมียจะขึ้นคร่อมตัวผู้ จากนั้นตัวผู้จะยื่นอวัยวะเพศแทงไปที่อวัยวะเพศตัวเมีย หลังจากนั้นประมาณ 14 นาที ถุงน้ำเชื้อก็จะฝ่อลง แล้วตัวเมียจะใช้ ขาเขี่ยถุงน้ำเชื้อทิ้งไป เมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ตัวเมียใช้อวัยวะวางไข่ที่แทงลงในดินที่มีลักษณะเรียวยาวคล้ายเมล็ดข้าวสาร ใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก็จะฟักออกเป็นตัวอ่อน ตลอดอายุไข่จิ้งหรีดตัวเมียสามารถวางไข่ได้ตั้งแต่ 600-1,000 ฟอง ซึ่งจะวางไข่เป็นรุ่น ๆ ได้ประมาณ 4 รุ่น


วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กบน้อย ผู้น่ารัก

สวัสดีวันจันทร์ที่แสนสดใส วันนี้ก็เหมือนเช่นเคยนะครับ ผม นายอาร์มจะพาทุกท่านไปเรียนรู้ชีวิตสัตว์ที่เราพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน วันนี้ขอเสนอ " กบน้อย ผู้น่ารัก " เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ


ลักษณะทั่วไปของกบนา
กบนาเป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ประเภทสัตว์เลือดเย็น ที่พัฒนามาจากสัตว์น้ำขณะวัยอ่อน หรือที่เรียก ลูกอ๊อด พัฒนามาเป็นสัตว์ที่อาศัยบนบกที่หายใจด้วยปอด และผิวหนัง และเคลื่อนไหวด้วยการกระโดด ไม่มีการเดิน
กบนา เป็นกบขนาดใหญ่ มีอายุได้มากกว่า 5 ปี มีน้ำหนักได้มากถึง 200-500 กรัม ลำตัวประกอบด้วยส่วนหัวที่มีขนาดใหญ่ เป็นรูปสามเหลี่ยมติดกับลำตัว (กบจะไม่มีคอ) มีนัยน์ตาโปนออกมาเล็กน้อย นัยตาหากกระทบไฟส่องจะมีสีแดง มีรูจมูก 2 รู ใกล้กับริมขอบปาก ก่อนถึงลูกตาและมีหู 2 ข้าง อยู่ถัดจากลูกตาเยื้อลงต่ำกว่าเล็กน้อย หูนี้มีลักษณะเป็นแผ่นค่อนข้างกลมบางๆ
ปากมีขนาดกว้าง ภายในปากมีฟันหยักขนาดเล็ก ไม่แหลมคม ส่วนลิ้นมีลักษณะแบน มีโคนลิ้นอยู่ด้านนอก ส่วนปลายลิ้นจะอยู่ด้านใน ปลายลิ้นเป็นแฉก ลิ้นนี้ใช้สำหรับจับอาหารเข้าปาก ซึ่งยืดหดได้อย่างรวดเร็ว  ผิวหนังมีลักษณะอ่อนนุ่ม และชื้นอยู่เสมอ ผิวหนังส่วนบนบริเวณหัว หลัง และขาด้านบนมีสีดำ สีน้ำตาลปนดำ หรือสีขาวขุน และมีจุดประสีทำกระจายทั่ว ทั้งนี้ สีลำตัวจะเปลี่ยนตามลักษณะของน้ำ และสภาพแวดล้อมที่อาศัย ส่วนผิวหนังใต้คาง หน้าท้อง และขาด้านหน้า รวมถึงฝ่าเท้าจะมีสีขาวตลอด
ขามี 4 ขา แบ่งเป็น 2 คู่ ขาคู่หน้าแต่ละขามี 4 นิ้ว ส่วนขาคู่หลังมี 5 นิ้ว โคนขามีขาดใหญ่กว่าขาคู่หน้า มีความแข็งแรง ใช้สำหรับการกระโดด นิ้วทั้ง 5 นิ้ว มีปลายนิ้วแหลมคม ใช้สำหรับขุดดิน แต่ละนิ้วมีพังพืดเชื่อมติดกันทำให้ว่ายน้ำได้เร็วขึ้น นิ้วด้านนอกจะยาวมากที่สุด และค่อยๆสั้นลงเรื่อยๆตามลำดับจนถึงนิ้วด้านใน
กบมีอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นกล่องเสียง ทำให้กบร้องเสียงดังก้องในช่วงผสมพันธุ์ แต่หากเกิดตกใจจะร้องเสียงแหลม
เพศของกบนา
– กบตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่ากบตัวเมีย หากจับหงายท้องจะเห็นกล่องเสียงใต้คาง 2 อัน โดยจะมีลักษณะเป็นจุดสีดำ จุดนี้จะปุ๋มลง และนูนขึ้นเมื่อกบร้อง
– กบตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ เมื่อจับหงายท้องจะไม่พบกล่องเสียง และหูจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ ประมาณเท่ากับลูกตา
การดำรงชีพของกบนา
แหล่งอาศัย และการแพร่กระจาย
กบนาสามารถพบได้ทุกภาคในประเทศ ในหน้าฝนจะอาศัยตาแหล่งน้ำขังตื้นๆ เช่น ทุ่งนา บ่อเก็บน้ำ โดยกลางวันมักหลบอาศัยอยู่ใต้น้ำหรือใต้กอหญ้า ส่วนเวลากลางคืนจะออกหากิน
อาหาร และการกินอาหาร
กบนาเป็นสัตว์ประเภทกินสัตว์เป็นอาหาร มีอาหารตามธรรมชาติที่สำคัญ คือ ไส้เดือน ปลาขนาดเล็ก แมลงเม่า และแมลงอื่นๆ เป็นต้น
เสียงร้องของกบ
เสียงร้องของกบแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. เสียงร้องตอนผสมพันธุ์ กบนาจะร้องเสียง “อบ” “อบ” เป็นจังหวะ ซึ่งเป็นที่มาของการเรียกชื่อว่า “กบ” เสียงนี้จะใช้เพื่อเรียกหาคู่ผสมพันธุ์ ซึ่งจะได้ยินบ่อยในช่วงต้นฤดูฝน ขณะฝนตกหรืหลังฝนตก เพราะกบจะออกมาบริเวณแหล่งน้ำขังเพื่อผสมพันธุ์ และวางไข่
2. เสียงร้องให้ช่วย หรือได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดความกลัว กบนาจะร้อง “แอ้บ” “แอ้บ” เป็นจังหวะ เช่น กบขณะถูกงูกิน กบที่กำลังถูกจับ เป็นต้น
การสืบพันธุ์ และการวางไข่
ตามธรรมชาติ กบนาจะเริ่มผสมพันธุ์ในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม-กรกฏาคม หรืออาจเลยไปถึงเดือนสิงหาคม หากพื้นที่แห้งแล้งหรือฝนมาช้า
การผสมพันธุ์ของกบมักเริ่มหลังจากฝนตกแล้ว 1-2 ครั้ง เพราะช่วงนี้จะเริ่มมีแหล่งน้ำขังตามทุ่งนา โดยเมื่อฝนตก และมีแหล่งน้ำขัง กบจะออกจากรูหรือที่หลบอาศัย และกระโดดเข้าหาแหล่งน้ำใหม่ เพราะกบจะไม่เหลือกแหล่งน้ำเก่า เช่น บ่อน้ำ สระน้ำ อาจเนื่องจากกบอาจรู้ว่าแหล่งน้ำเหล่านี้จะมีผู้ล่าที่เป็นปลากินเนื้ออยู่
เมื่อถึงแหล่งน้ำ กบจะส่งเสียงร้องหาคู่ “อบ” “อบ” เป็นจังหวะ และเมื่อพบคู่ กบตัวผู้จะขึ้นขี่ด้านหลังกบตัวเมีย

สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวก่อนน่ะครับ

ประวัติย่อ


นาย ณัฐนันท์ นิตยพล
ชื่อเล่น : อาร์ม
วันเกิด : 31 พฤษภาคม 2541
น้ำหนัก/ส่วนสูง : 65kg./175cm.
สีที่ชอบ : ขาว ดำ เทา
กรุ๊ปเลือด : โอ
การศึกษา : กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนตราดสรรเสริญวิทยาคม จังหวัดตราด
คติประจำใจ : อย่าหยุดที่จะทำ..ถ้ายังมีลมหายใจ..
ติดต่อ : Tel.063-4345356
             LineID.armme_02
             Facebook.Arm Nutthanun
ที่อยู่ : 65 หมู่ 7 ต.หนองเสม็ด อ.เมือง จ.ตราด 23000
Email : it_mango1@hotmail.com